RAID ที่นิยมใช้มีกี่ประเภท แล้วแต่ละแบบมันทำงานต่างกันยังไง?

4,504
??The RAID Series EP.2 : RAID ที่นิยมใช้มีกี่ประเภท แล้วแต่ละแบบมันทำงานต่างกันยังไง??

จากภาคที่แล้ว (EP.1) ที่เราได้ทำความรู้จัก RAID กันไป ในภาคนี้จะมาพูดถึงประเภทของ RAID ที่คนนิยมใช้ว่ามีอะไรบ้าง แล้วแต่ละแบบมีความน่าสนใจยังไง ไปตามอ่านกันเลยยยย~~ 

สำหรับ RAID นั้นจะมี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ RAID แบบเดี่ยวกับ RAID แบบผสมถ้า RAID แบบเดี่ยว ๆ ก็คือ RAID ที่มีเลขตัวเดียวอย่างเช่น

? RAID 0 (striping) : เป็นการเอา Disk ที่มีอยู่มาแบ่งกันอ่านและเขียนข้อมูล เพื่อทำให้การอ่านเขียนรวดเร็วมากขึ้น แต่ๆๆ ถ้า Disk พัง 1 ลูกคือ Game Over แต่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสีย เพราะข้อดีของมันก็คือใช้งานพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ เช่น ใส่ Disk ลูกละ 2 TB ไป 2 ลูก แล้วเอามาทำ RAID 0 จะใช้พื้นที่ได้ถึง 4 TB ส่วนการอ่านเขียนจะเร็วขึ้นตามจำนวน Disk ที่นำมาทำนั่นเอง

? RAID 1 (mirroring) : เป็นการเอา Disk ที่มีอยู่มาทำ Mirror ข้อมูล หรือพูดง่ายๆ ก็คือเขียนข้อมูลเหมือนกัน ทั้ง 2 Disk ดังนั้น Disk สามารถลาโลกไปได้เลย 1 ลูกโดยที่ไม่กระทบกระเทือนต่อระบบเลยแม้แต่น้อย การอ่านข้อมูลจะเร็วตามจำนวน Disk ที่ใส่ลงไปในระบบ ส่วนข้อเสียคือเสียพื้นที่ไปเยอะมาก เช่น ถ้าใส่ Disk ไป 2 TB 2 ลูกทำ RAID 1 เราจะใช้งานพื้นที่ได้เพียงแค่ 2 TB เท่านั้น ทั้งที่เราควรจะต้องได้ใช้ที่ 4 TB จะเห็นได้ว่าเราจะเสียพื้นที่ไปโดยเปล่าประโยชน์ไปถึง 50% แต่การเขียนข้อมูลจะไม่ได้เร็วขึ้นตามจำนวน Disk แบบ RAID 0 

? RAID 5 (striping with parity) : เป็นการเอา Disk มาทำการ Redundant ข้อมูลนี่แหละ แต่พื้นที่มันจะมีความเสียเปล่าน้อยกว่าแบบ RAID 1 แต่ก็ใช้ Disk มากกว่าเช่นกัน เพราะ RAID 5 ต้องใช้ Disk ขั้นต่ำอยู่ที่ 3 ลูก แล้วอีกอย่างเราจะเสียพื้นที่ไปถึง 25% ในการทำและใช้งาน 

อ่าวพูดมาขนาดนี้ก็แปลว่าไม่ดีสิ แต่เดี๋ยวก่อน RAID 5 มีข้อดีเยอะเหมือนกันนะ ข้อดีคือ ถ้าสมมติว่าเราเทียบกับ RAID 1 เนี่ย RAID 1 เสีย 50% แต่ RAID 5 เสียแค่ 25% เท่านั้นเอง ทำไมน่ะหรอ?เพราะ RAID 5 มีการทำ Parity Check หรือการตรวจสอบข้อมูลในจุดที่สูญหายได้ 

ใน RAID 5 นั้นสามารถมี Disk เสียหายได้ 1 ลูกซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์แล้วเนี่ย ยังไงก็ข้อมูลหายแน่นอนแต่พอมี Parity Check แล้ว ทำให้จุดที่ข้อมูลสูญหายนั้นยังสามารถที่จะกู้คืนได้บ้าง อีกทั้งยังสามารถเพิ่มความเร็วในการอ่านได้อีกด้วย โดยความเร็วจะขึ้นอยู่กับจำนวน Disk ที่ใส่ไป แบบ n-1 เช่น ถ้าใส่ disk ไป 5 ลูก การอ่านจะเป็นแบบ 5-1 เท่ากับ 4 หรือเร็วขึ้น 4 เท่า แต่ว่าการเขียนไม่ได้เร็วขึ้นนะ

?⚡️ส่วน RAID อีกประเภทนึงจะเป็น RAID ที่เอา RAID เดี่ยวมาผสม เพื่อเอาความสามารถทั้งสอง RAID มาผสมกัน อย่างที่นิยมใช้กันมาก ๆ ก็จะมี 

? RAID 10 (combining mirroring and striping) : บางครั้งอาจจะเจอเขียนเป็น RAID 1+0 ก็ไม่ผิด ซึ่ง RAID นี้ เป็นการฟิวชั่นเอาข้อดีและข้อเสียของ RAID 1 และ RAID 0 มาผสมกัน หากผู้ใช้งานมีความต้องการในเรื่องของความเร็วในการอ่านเขียนที่สูงขึ้น แล้วยังอยากได้การทำ Mirror ข้อมูลด้วย แต่ต้องใช้ Disk ขั้นต่ำที่ 4 ลูก!!!! สมมติว่ามี Disk 1 TB อยู่ที่ 4 ลูก เราจะใช้งานพื้นที่ได้แค่เพียง 2 TB และความเร็วของการอ่านเขียนข้อมูลจะเพิ่มขึ้น x2 เท่านั้น

ในความเป็นจริงแล้วยังมี RAID อีกมากมายที่สามารถนำมาใช้กันได้แต่ว่าถ้าจะให้เล่าหมดเลยนั้นต้องขอเวลาเยอะ ๆ เลย เพราะงั้นใน EP นี้ แอดก็ขอสรุปมาให้เพียงเท่านี้ก่อนดีกว่า สำหรับผู้ที่อ่าน ๆ อยู่ ในตอนนี้ อาจจะมีความคิดว่า อ้าว! แล้ว Storage Pool ล่ะ มันต่างกับ RAID ยังไง? 

ไว้ในรอบหน้าแอดจะมาเทียบกันให้ชัด ๆ เลยว่า RAID กับ Storage Pool นั้นมันมีจุดเหมือนหรือจุดต่างยังไงบ้าง สุดท้ายนี้ขอทิ้งท้ายไว้ว่า RAID 0 is doing good but RAID 1 is doing great…

สนใจบริการ Cloud คุณภาพ สั่งซื้อได้ที่ 

? :  https://metrabyte.cloud

☎️ : 02-0263-124

? : [email protected]

? Line : @metrabyte (https://line.me/R/ti/p/%40158oqtgp)

อ้างอิง :

https://bit.ly/3P4VpcF

https://bit.ly/3IiVqrh

RAID Calculator

https://bit.ly/3IfzeP3

Comments are closed.